อินทรียวัตถุ หรือ Soil Organic Matter (SOM) คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการทำเกษตรแบบยั่งยืน เพราะเป็นปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก ปัจจุบันค่าอินทรียวัตถุของดินในประเทศไทยต่ำกว่าค่ามาตรฐานเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ IFARM จึงขอแนะนำกฎเหล็ก 5 ข้อที่ในการฟื้นฟูอินทรียวัตถุในดินให้กลับมา พร้อมตัวอย่างความสำเร็จจริงจากเกษตรกรไทย และเทคนิคที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตถึง 30% ลดต้นทุนได้ 40% ภายใน 5 ปี!
ไอฟาร์มทีม
ใช้เวลาอ่านประมาณ: 4 นาที
Quick Navigation
อินทรียวัตถุในดิน (Soil Organic Matter หรือ SOM) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน แต่การจัดการอย่างถูกต้องยังเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคนทำเกษตรหลาย ๆ คน ด้วยเหตุนี้ IFARM จึงขอแนะนำ “กฎเหล็ก 5 ข้อ” ที่จะช่วยให้สมาชิก IFARM สามารถจัดการอินทรียวัตถุในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะทำไปสู่การลดต้นทุน (โดยเฉพาะต้นทุนปุ๋ย) และการเพิ่มผลผลิต ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
ก่อนที่จะเข้าสู่กฎเหล็ก 5 ข้อ เราควรเข้าใจถึงความสำคัญของอินทรียวัตถุในดินกันเสียก่อนครับ
อินทรียวัตถุในดินมีบทบาทสำคัญดังนี้:
- ปรับปรุงโครงสร้างดิน (Soil Structure)
- เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ (Water Holding Capacity)
- เป็นแหล่งธาตุอาหารสำหรับพืช (Nutrient Source)
- ส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน (Microbial Activity)
- ช่วยในการดูดซับและปลดปล่อยธาตุอาหาร (Nutrient Retention and Release)
จากการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดิน (2560) พบว่าดินสำหรับการทำเกษตรในประเทศไทยมีปริมาณอินทรียวัตถุเฉลี่ยเพียง 1.34% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม (2-3%) อย่างมาก นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการจัดการอินทรียวัตถุในดินอย่างเร่งด่วน
กฎข้อที่ 1: รู้จักดินของคุณ
การจัดการอินทรียวัตถุที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากความเข้าใจในสภาพดินของคุณ
การตรวจวิเคราะห์ดิน
- ตรวจสอบปริมาณอินทรียวัตถุในดินอย่างสม่ำเสมอ
- วิเคราะห์ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH), ธาตุอาหารหลัก (N, P, K) และธาตุอาหารรอง
การสังเกตลักษณะทางกายภาพ
- สี: ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงมักมีสีเข้ม (น้ำตาลเข้มถึงดำ)
- เนื้อดิน: อินทรียวัตถุช่วยปรับปรุงเนื้อดินให้ร่วนซุย
- ความชื้น: ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจะอุ้มน้ำได้ดี
ตัวอย่าง: โครงการรณรงค์การใช้สารอินทรีย์ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร จังหวัดสุรินทร์ (2562) พบว่าคนทำเกษตรที่ตรวจวิเคราะห์ดินก่อนการปรับปรุงสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เฉลี่ย 15-20%
กฎข้อที่ 2: ความหลากหลายคือกุญแจสำคัญ
อินทรียวัตถุที่หลากหลายจะสร้างระบบนิเวศในดิน (Soil Ecosystem) ที่สมดุล
แหล่งอินทรียวัตถุที่หลากหลาย
- ปุ๋ยคอก (Manure): อุดมด้วยไนโตรเจนและจุลธาตุ
- ปุ๋ยหมัก (Compost): ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและเพิ่มจุลินทรีย์
- เศษพืช (Crop Residues): เพิ่มคาร์บอนและปรับปรุงโครงสร้างดิน
ด้วยเทคนิคไม่กลับกอง
การปลูกพืชหมุนเวียน (Crop Rotation)
- สลับพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มไนโตรเจน
- ใช้พืชรากลึกเพื่อนำธาตุอาหารจากชั้นดินล่าง
งานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2563) พบว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากแหล่งที่หลากหลายร่วมกับการปลูกพืชหมุนเวียนสามารถเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดินได้ถึง 0.5% ภายในระยะเวลา 3 ปี
สำหรับการปลูกพืชตระกูลถั่วสลับเพื่อ “อินทรียวัตถุในดิน” นั้น IFARM ขอแนะนำให้ปลูก “ต้นทองหลางน้ำ สายพันธุ์ก้านแดง มีหนาม” เพราะสามารถตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเพิ่มไนโตรเจน และการมีรากลึก สามารถลงไปหาธาตุอาหารจากชั้นดินด้านล่างได้ … ต้นทองหลางน้ำ เป็นพืชตระกูลถั่วเช่นกัน แต่เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15-20 เมตร ชาวสวนทุเรียน และสวนผลไม้นิยมปลูกแซมในสวน เพราะมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุ เพิ่มความชื้นในอากาศ และดิน ให้ร่มเงา และเป็น Wind Break
ตัวอย่างที่ 1 : การปลูกต้นทองหลางน้ำ สายพันธุ์ก้านแดง มีหนาม ร่วมกับทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ของสวนนายชัดเจน อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา
ตัวอย่างที่ 2 : การปลูกต้นทองหลางน้ำ สายพันธุ์ก้านแดง มีหนาม ร่วมกับทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ของสวนคุณแผ่นดิน จ. นนทบุรี
เพิ่มธาตุอาหาร และอินทรียวัตถุให้ดินด้วย "ถั่วยืนต้น"
จำหน่ายต้นกล้า "ต้นทองหลางน้ำ สายพันธุ์ก้านแดง มีหนาม" เพาะเมล็ด สูงประมาณ 30 ซม. ปลูกเป็นพิชแม่นม / พืชพี่เลี้ยงในสวนทุเรียน ผลไม้และไม้เศรษฐกิจต่าง ๆ ช่วยเพิ่มธาตุอาหาร อินทรียวัตถุ และจุลินทรีย์ในดิน
กฎข้อที่ 3: ทำงานร่วมกับธรรมชาติ
การจัดการอินทรียวัตถุที่ดีควรเลียนแบบกระบวนการทางธรรมชาติ
การลดการไถพรวน
- ลดการรบกวนดินเพื่อป้องกันการสูญเสียอินทรียวัตถุ
- ใช้เทคนิคการไถพรวนแบบอนุรักษ์ (Conservation Tillage)
การใช้พืชคลุมดิน (Cover Crops)
- ป้องกันการชะล้างและเพิ่มอินทรียวัตถุ
- เลือกพืชคลุมดินที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และฤดูกาล
การส่งเสริมกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในดิน
- ลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์
- สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับไส้เดือนและแมลงที่เป็นประโยชน์
ตัวอย่าง: เจ้าของไร่กาแฟในจังหวัดน่านที่ใช้ระบบวนเกษตร (Agroforestry System) โดยปลูกกาแฟร่วมกับไม้ป่า พบว่าสามารถเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดินได้มากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับการปลูกกาแฟเชิงเดี่ยว
งานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ (2564) พบว่าการใช้พืชคลุมดินในสวนลำไยสามารถเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดินได้ 0.3-0.5% ต่อปี และลดการใช้น้ำลงได้ถึง 20%
กฎข้อที่ 4: ความสม่ำเสมอคือกุญแจสู่ความยั่งยืน
การจัดการอินทรียวัตถุเป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องการความสม่ำเสมอ
การเพิ่มอินทรียวัตถุอย่างต่อเนื่อง
- กำหนดแผนการเพิ่มอินทรียวัตถุประจำปี
- ใช้วิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับฤดูกาล
การวางแผนระยะยาว
- กำหนดเป้าหมายการเพิ่มอินทรียวัตถุในระยะ 3-5 ปี
- ปรับแผนตามผลการตรวจวิเคราะห์ดินประจำปี
การติดตามและประเมินผล
- บันทึกข้อมูลการจัดการดินและผลผลิตอย่างสม่ำเสมอ
- เปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้
ตัวอย่าง: โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและเกษตรน้ำฝนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครราชสีมา ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยพืชสด (Green Manure) และปุ๋ยคอกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ส่งผลให้ปริมาณอินทรียวัตถุในดินเพิ่มขึ้นจาก 0.8% เป็น 1.5% และผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 20%
งานวิจัย: การศึกษาระยะยาวของกรมพัฒนาที่ดิน (2558-2563) พบว่าการเพิ่มอินทรียวัตถุในดินอย่างต่อเนื่องสามารถเพิ่มผลผลิตพืชได้เฉลี่ย 15-25% และลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ถึง 30%
กฎข้อที่ 5: บูรณาการการจัดการอินทรียวัตถุกับการปฏิบัติทางการเกษตรอื่นๆ
การจัดการอินทรียวัตถุไม่ควรแยกออกจากการปฏิบัติทางการเกษตรอื่นๆ
การจัดการน้ำและธาตุอาหาร
- ปรับระบบการให้น้ำให้เหมาะสมกับปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
- ใช้ระบบการให้ปุ๋ยทางน้ำ (Fertigation) ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์
การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management – IPM)
- ใช้อินทรียวัตถุเพื่อส่งเสริมศัตรูธรรมชาติ
- ลดการใช้สารเคมีที่ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน
การปรับปรุงพันธุ์พืช
- เลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพดินที่มีอินทรียวัตถุสูง
- พัฒนาพันธุ์พืชที่มีประสิทธิภาพในการใช้อินทรียวัตถุ
ตัวอย่าง: โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริในจังหวัดนครนายก ได้นำหลักการบูรณาการการจัดการอินทรียวัตถุเข้ากับระบบการปลูกพืชแบบผสมผสาน (Integrated Farming) ส่งผลให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ 30% และมีรายได้เพิ่มขึ้น 25% ภายในระยะเวลา 3 ปี
งานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น (2565) พบว่าการบูรณาการการจัดการอินทรียวัตถุกับระบบการให้น้ำแบบหยด (Drip Irrigation) ในการปลูกมันสำปะหลังสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 40% และประหยัดน้ำได้ 35% เมื่อเทียบกับวิธีการปลูกแบบดั้งเดิม
สรุป
การปฏิบัติตาม 5 กฎเหล็กนี้จะช่วยให้เราจัดการอินทรียวัตถุในดิน หรือ Soil Organic Matter ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การจัดการอินทรียวัตถุจึงเป็นการลงทุนลงแรงที่จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับสมาชิก IFARM ทุกคนอย่างแน่นอน
จากสถิติจากกรมพัฒนาที่ดิน (2565) แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรที่นำหลักการจัดการอินทรียวัตถุไปใช้อย่างจริงจังสามารถเพิ่มผลผลิตได้เฉลี่ย 20-30% และลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ถึง 40% ภายในระยะเวลา 5 ปี
การเริ่มต้นอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยความเข้าใจและการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เราทุกคนจะสามารถปรับปรุงคุณภาพดินและสร้างระบบเกษตรที่ยั่งยืนได้ในที่สุดครับ
วัดค่า pH ดินแม่นยำ คุณภาพจากญี่ปุ่น
จะแก้ปัญหาค่าดินให้ถูกจุด ต้องมั่นใจว่าค่า pH ดินที่วัดได้มีความถูกต้อง ... พบกับ Takemura DM-5 เครื่องวัดค่ากรดด่างและความชื้นดิน แบรนด์ญีุ่ป่น ของแท้ ... คลิกเพื่อรับส่วนลดและของแจกฟรีมากมาย
บทความแนะนำ
-
-5%Add to cartQuick View
-
-5%Add to cartQuick View