ปัญหาหนักที่คนทำเกษตรหลาย ๆ คนกำลังประสบอยู่ก็คือต้นทุนการผลิตที่ถีบตัวสูงขึ้น สาเหตุหลักมาจากการใช้ปุ๋ยในปริมาณที่มากขึ้นทุกปี ในขณะที่ผลผลิตกลับไม่วิ่งตาม ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากหลากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่มักไม่ค่อยถูกพูดถึง โดยเฉพาะจากบริษัทปุ๋ย ก็คือ “ผลกระทบของค่า pH ดินต่อประสิทธิภาพของปุ๋ย” ตัวอย่างเช่น เพียงแค่ปรับค่า pH ดินจาก 5.5 ไปเป็น 6.5 ก็สามารถลดการใช้ปุ๋ยฟอสเฟตลงได้ 30% ในขณะที่ผลผลิตกลับเพิ่มขึ้นถึง 15% …ถ้าคุณอยากคุมต้นทุนปุ๋ยให้อยู่หมัด นี่คือบทความที่คุณต้องอ่านครับ
ไอฟาร์มทีม
ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
Quick Navigation
เจ้าของสวนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาต้นทุนปุ๋ยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรลดลง ขณะที่บางแห่งถึงขั้นขาดทุนหนักจนเลิกทำไปเลยก็มี สาเหตุหนึ่งมาจากปุ๋ยทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ต้องใช้ปุ๋ยในปริมาณมากขึ้นทุกปี การลดประสิทธิภาพของปุ๋ยอาจไม่ได้มาจากคุณภาพของปุ๋ยเอง จากประสบการณ์ของ IFARM เราพบว่าหลายกรณีเกิดจากผลกระทบของความเป็นกรดด่าง หรือค่า pH ของดิน บริษัทปุ๋ยทุกบริษัทล้วนทราบถึงผลกระทบของค่า pH ต่อประสิทธิภาพของปุ๋ยเป็นอย่างดี แต่บางบริษัท (ส่วนน้อย) เลือกที่จะปล่อยเลยตามเลยเพื่อที่จะขายปุ๋ยได้มากขึ้นนั่นเอง
เพื่อช่วยแก้ปัญหาข้างต้น บทความนี้ IFARM จะชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและผลกระทบของค่า pH ดินที่มีต่อปุ๋ยและพืช
1. ค่า pH ดินมีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหารของพืช
ค่า pH ดินไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่ไม่มีความหมาย แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าพืชของคุณจะสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้ดีเพียงใด แม้ว่าคุณจะใส่ปุ๋ยลงไปในดินมากเพียงใด หากค่า pH ของดินไม่เหมาะสม พืชก็ไม่สามารถนำธาตุอาหารเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น:
- ในดินที่เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 6.5) ธาตุฟอสฟอรัสจะจับตัวกับธาตุเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้
- ในดินที่เป็นด่าง (pH สูงกว่า 7.5) ธาตุเหล็ก แมงกานีส สังกะสี และทองแดงจะละลายน้ำได้น้อยลง ทำให้พืชขาดธาตุอาหารเหล่านี้ได้
2. การปรับ pH ดินอาจลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ย
หลายต่อหลายครั้งที่เจ้าของสวนพบว่าการเพิ่มปริมาณปุ๋ยไม่ได้ช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างที่คาดหวัง สาเหตุหนึ่งอาจมาจากค่า pH ดินที่ไม่เหมาะสม การปรับ pH ดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสามารถช่วยให้พืชใช้ธาตุอาหารที่มีอยู่แล้วในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กรณีศึกษา: เจ้าของไร่ข้าวโพดรายหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมาพบว่าหลังจากปรับ pH ดินจาก 5.5 เป็น 6.5 สามารถลดการใช้ปุ๋ยฟอสเฟตลงได้ 30% โดยที่ผลผลิตข้าวโพดไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น 15%
3. pH ดินที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ย
ในสภาพดินที่มี pH ไม่เหมาะสม ปุ๋ยที่ใส่ลงไปอาจสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น:
- การชะล้าง: ในดินที่เป็นกรดจัด ธาตุอาหารบางชนิด เช่น ไนโตรเจน จะถูกชะล้างได้ง่าย
- การตรึงในดิน: ในดินที่เป็นด่างจัด ธาตุฟอสฟอรัสจะถูกตรึงในรูปแบบที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ในดินที่มี pH ต่ำกว่า 5.5 อาจทำให้สูญเสียปุ๋ยไนโตรเจนถึง 30% ผ่านการชะล้าง
4. pH ดินมีผลต่อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน
จุลินทรีย์ในดินมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุ การตรึงไนโตรเจน และการสร้างสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ค่า pH ดินที่เหมาะสม (ประมาณ 6.0-7.0) จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เหล่านี้
การศึกษาพบว่า ในดินที่มี pH ระหว่าง 6.0-7.0 มีปริมาณและความหลากหลายของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์มากกว่าดินที่เป็นกรดหรือด่างจัด ถึง 40-50%
5. การจัดการ pH ดินช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้ปุ๋ยมากเกินไป
การใช้ปุ๋ยมากเกินความจำเป็นไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นเปลืองเงินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางน้ำ เช่น การเกิดปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชัน (Eutrophication)
การจัดการ pH ดินอย่างเหมาะสมช่วยให้พืชใช้ธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียปุ๋ยสู่สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ วัสดุปรับปรุงดินบางชนิด เช่น ปูนขาว ยังช่วยดูดซับฟอสฟอรัสส่วนเกิน ลดการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ
สรุป
การให้ความสำคัญกับค่า pH ดินไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเลิกใช้ปุ๋ยทั้งหมด เพียงแต่เป็นการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยให้สมาชิก IFARM ประหยัดต้นทุน และมีผลผลิตที่ดีมากขึ้น ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ … ดังนั้นอย่าลืมด้วยวัดค่า pH ดินด้วยเครื่องมือที่ไว้ใจได้อย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญอย่าลงทุนปลูกอะไรโดยไม่ตรวจวัดค่าดิน / น้ำให้ดีเสียก่อนนะครับ
วัดค่า pH ดินแม่นยำ คุณภาพจากญี่ปุ่น
จะแก้ปัญหาค่าดินให้ถูกจุด ต้องมั่นใจว่าค่า pH ดินที่วัดได้มีความถูกต้อง ... พบกับ Takemura DM-5 เครื่องวัดค่ากรดด่างและความชื้นดิน แบรนด์ญีุ่ป่น ของแท้ ... คลิกเพื่อรับส่วนลดและของแจกฟรีมากมาย
